วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีการใช้งานโปรแกรมประเภท FTP ช่วยในการดาวน์โหลดและอัพข้อมูล

วิธีการใช้งาน Upload ด้วยโปรแกรม FTP 

การ Upload ข้อมูลวิธีที่ไม่ยากนักและเร็วคือการทำผ่าน FTP Software เช่น cuteftp, ws_ftp
แต่ทางเราเลือกใช้ Windows Commander ซึ่งเป็นทั้ง file manager และ ftp ในตัวเดียวกัน คุณสามารถ download ได้ที่ http://www.ghisler.com/
เมื่อ Download มาแล้วต้องสร้างบัญชี FTP (FTP Account) ขึ้นมาก่อน
จึงจะสามารถติดต่อกับ server เพื่อ upload ข้อมูลได้ การสร้างก็ทำเพียงแค่กด Ctrl+F แล้วเลือก New Connection...



  จะปรากฎหน้าใหม่ขึ้นมาให้คุณกรอกข้อมูลให้ครบ ข้างล่างนี้จะเป็นรายละเอียดแบบคร่าวๆ ของแต่ละช่องที่คุณต้องใส่ลงไปเพื่อสร้าง FTP Account

Session - หมายถึงชื่อบัญชี คุณจะกรอกอะไรก็ได้ โดยทั่วไปจะใช้เป็นชื่อโดเมนของคุณเอง
Host name (: Port) - ต้องใส่ชื่อโดเมนหรือ IP Address สมมุติว่าโดเมนของคุณชื่อ domain.com
คุณต้องใส่เป็น domain.com หรือ ftp.domain.com อันไหนก็ได้
(หากโดเมนคุณยังย้ายมาไม่สมบูรณ์ คุณต้องใส่ IP Address ลงในช่องนี้แทน เมื่อโดเมนได้ย้ายมาแล้ว ค่อยกลับมาเปลี่ยนช่องนี้เป็นชื่อโดเมน)
User name: ดูจากใน email ที่แจ้งรายละเอียด hosting แล้วใส่ Username ลงช่องนี้
Password: ดูจากใน email ที่แจ้งรายละเอียด hosting แล้วใส่ Password ลงช่องนี้



  เมื่อใส่ครบแล้วก็กด OK จะปรากฏชื่อโดเมนของคุณขึ้นมาตามรูปข้างล่างนี้


 

ทีนี้คุณก็พร้อมที่จะ login เข้า server แล้ว คุณก็ใช้ mouse จิ้มที่ชื่อโดเมนแล้วกด Connect



  เมื่อ login เข้ามาแล้ว คุณจะเห็น list รายชื่อ folder ดังนี้

etc - folder นี้เป็นที่เก็บค่า config ต่างๆเช่น password ของบัญชี email คุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขอะไร
mail - folder นี้เป็นที่เก็บ email file ของบัญชี email
public_ftp - folder นี้จะทำหน้าที่เก็บ file ที่ใฃ้งานใน anonymous ftp (FTP ที่เปิดไว้ให้ ใครก็ได้สามารถเข้ามาใช้งาน
ขอแนะนำให้ปิด anonymous ftp ดูวิธีการใช้งานได้ที่ http://www.24webhost.com/cp.php?loc=cp/website/fmanager.html
ในหัวข้อ Anonymous FTP Controls ซึ่งใน Anonymous FTP Controls ไม่ควรจะติ้กอะไรไว้เลย)
public_html - folder นี้จะเป็นที่เก็บ file ของเว็บทั้งหมด คุณต้อง upload file มาไว้ยัง folder นี้เว็บไซต์จึงจะถูกเรียกใช้งานได้
เมื่อคุณเข้าไปใน folder นี้จะมีอยู่ 2 file ที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้วคือ index.php กับ home.gif ให้คุณลบทั้ง 2 file นี้ทิ้งด้วย
tmp - folder นี้จะเป็นที่เก็บข้อมูลของ stat software (software ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของผู้ที่เยี่มชมเว็บไซต์ของคุณ) คุณไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน
ยกเว้นกรณีที่พื้นที่ของคุณใกล้จะเต็ม คุณอาจจะพิจารณาลบ file บาง file ที่ใช้พื้นที่เยอะๆ จาก folder นี้ได้เป็นอันดับแรก
www - เป็น folder เดียวกันกับ public_html หากคุณลบ file จาก folder นี้ จะทำให้ file ใน public_html ถูกลบด้วย folder นี้
มีประโยชน์ตรงที่ชื่อสั้น เวลาเรียกใช้งานไม่จำเป็นต้องพิมพ์ชื่อยาวๆ
ถึงตอนนี้คุณก็สามารถ upload file ได้แล้ว เมื่อ upload เสร็จ

เว็ปไซต์ที่ให้บริการสำหรับการดาวน์โหลด

แนะนำเว็บสำหรับดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีแวร์ แชร์แวร์และโปรแกรมแบบทดลองใช้ จากเว็บให้บริการดาวน์โหลดโปรแกรมยอดฮิต ยอดนิยม 10 เว็บ ที่รวบรวมเอามาแนะนำให้เลือกใช้งาน หากกำลังมองหาโปรแกรมแบบฟรีแวร์ไม่ต้องไปเสี่ยงกับไวรัสที่ติดมากับโปรแกรมเถื่อน ละเมิดลิขสิทธิ์ หวังว่าทั้ง 10 เว็บที่แนะนำคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ติดตามกันได้เลย

1. CNET
มีโปรแกรมให้เลือกดาวน์โหลดกว่า 100,000 โปรแกรม เว็บนี้ใครหลายๆคน ก็คงจะคุ้นเคยกัน




2. Brothersoft
 เป็นอีกเว็บที่ได้รับความนิยม มีการจัดหมวดหมู่โปรแกรมทั้งแบบฟรีแวร์และแชร์แวร์





3. Freedownloadscente 
 แหล่งรวมโปรแกรมหลากหลายประเภท ให้รอให้คุณไปค้นหา และดาวน์โหลด




4. ZDNet downloads  
เรียกได้ว่าเป็น Software Directory ที่รวบรวมโปรแกรมไว้มากมาย เป็นอีกเว็บ
ที่ได้รับความนิยม เพราะมีโปรแกรมครอบคลุมทั้ง Windows, Mac และ Mobile





5. Download3000 
 แนะนำโปรแกรมฟรีแวร์มากมาย มีการจัดหมวดหมู่โปรแกรมเพื่อง่ายต่อการค้นหาโปรแกรม
และยังมีสคริปต่างๆ ให้เลือกดาวน์โหลด มีโปรแกรมทั้งบน Windows และ Mac





6. All-freeware
 แหล่งรวมโปรแกรมฟรีแวร์ โปรแกรมออกใหม่อีกแห่งที่น่าสนใจ และน่าติดตาม





7. Tucow?s Butterscotch 
แหล่งรวมโปรแกรมฟรีแวร์ที่มีโปรแกรมมากกว่า 20,000 โปรแกรม รวมไปถึง
โปรแกรมบนมือถือ





8. FreewareFiles 
รวบรวมโปรแกรมฟรีแวร์ ที่ให้คุณพร้อมดาวน์โหลด เป็นอีกเว็บที่เ้ข้าบ่อยๆ






9. Get Jar 
 แหล่งรวมโปรแกรม แอพพลิเคชั่นบนมือถือ ที่ใหญ่อีกแห่ง คิดว่าหลายๆคน ก็คงรู้จักกันเป็นอย่างดี
เพราะเป็นแหล่งรวมโปรแกรมต่างๆ ไว้มากมายให้เลือกดาวน์โหลดและใช้งาน Android, BlackBerry, Windows Mobile,
iPhone และ Symbian มีโปรแกรมมากกว่า 75,000 โปรแกรม






10. Majorgeeks 
 คุณสามารถเลือกโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณที่มีให้ดาวน์โหลดฟรี















โปรแกรมที่ใช้สำหรับการดาวน์โหลด

โปรแกรมที่ใช้สำหรับการดาวน์โหลด
โปรแกรมช่วยดาวน์โหลด เป็นโปรแกรมที่ปัจจุบันอาจดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่สำหรับหลายคนในปัจจุบัน (เพราะคุณภาพอินเตอร์เน็ตนั้นดีขึ้นกว่าเดิมมาก) แต่ถึงตอนนี้ยังไงก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเป็นโปรแกรมสามัญประจำเครื่องที่ทุกคนควรมี

โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดนั้นจะใช้หลักการทำงานแบบหลักๆ คือการดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ มาเก็บไว้บนคอมโดยใช้หลักการแยกเป็นส่วนๆ ข้อดีคือสามารถแบ่งจำนวนการเชื่อมต่อให้ดาวน์โหลดแบบขนานคู่กันไปหลายๆ ส่วนทำให้ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก และฟีเจอร์ที่สำคัญมากอีกอย่างคือการกลับมาดาวน์โหลดต่อได้นั่นเอง โดยโปรแกรมพวกนี้จะมีทั้งแบบเสียเงินและแบบใช้งานได้ฟรี โปรแกรมเสียเงินส่วนมากก็ทราบกันอยู่ว่ามีหลายตัวที่ประสิทธิภาพสูงๆ เช่น Internet Download Manager (IDM) ยอดนิยมของคนไทย (ที่แคร็กกันกระจุยกระจาย), Download Accelerator Plus, Mass Downloader (ตัวนี้ผมชอบที่สุด) สำหรับบทความนี้ผมจะมาแนะนำของฟรีไม่ผิดลิขสิทธิ์แทน ลองไปดูกันเลยดีกว่า




1. Flashget
ไม่ต้องสงสัยอะไรเลยเกี่ยวกับโปรแกรมตัวนี้ Flashget เป็นโปรแกรมที่ประสิทธิภาพสูงตัวนึงและมีประวัติที่ยาวนานนับสิบปี นับตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกที่ใช้ชื่อว่า Jetcar เป็นโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดที่ทำให้ชีวิตการใช้อินเตอร์เน็ตแบบ 56K ของเราในสมัยนั้นดีขึ้นกว่าเดิมมากและเป็นโปรแกรมที่ทำให้ดาวน์โหลดไวขึ้นถึงสิบเท่าเพราะการแยกส่วนเป็นโปรแกรมแรกๆ ถึงปัจจุบันจะดูเนิบนาบแต่ก็เป็นโปรแกรมที่ผมยังใช้ติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญมันใช้งานได้ฟรีโปรแกรมตัวนี้ฟีเจอร์อาจดูไม่โดดเด่นมาก แต่สำหรับผมการใช้มันควบคู่กับ Flashgot บน Firefox แค่นี้ก็เพียงพอและทำได้แทบทุกอย่างแล้วครับ








2. DownThemAll! 
อันนี้อาจจะมีข้อจำกัดไปนิดนึงเพราะว่ามันเป็น Firefox Extension แต่ก็เป็นโปรแกรมตัวนึงที่ใช้งานได้ง่ายมากและติดมากับตัว Firefox เลย เหมาะกับการดาวน์โหลดแบบไม่ซีเรียสมากมายเนื่องจากมันผูกกับโปรเซสของ Firefox เวลามันอืดแล้วอาจทำให้น่าหงุดหงิดได้ แต่ก็เป็นโปรแกรมอีกตัวที่กะทัดรัดและน่าโหลดมาใช้หากไม่อยากติดตั้งโปรแกรมแยกต่างหาก






3. JDownloader
ตัวนี้เป็นโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดเฉพาะของสำหรับสาวกนักโหลดไฟล์ตามเว็บฝากไฟล์ต่างๆ เพราะโปรแกรมตัวนี้รองรับการทำงานของเว็บฝากไฟล์ดังๆ แทบทุกเว็บ ปัญหาเรื่องการรอกดดาวน์โหลด การใส่ captcha ก็จะหมดไปเนื่องจากตัวนี้จะถอดรหัสให้หมด (แต่บางเว็บก็ต้องใส่เองนะจ๊ะ) ที่สำคัญสามารถเช็คได้ว่าไฟล์ไหนโหลดได้หรือไม่ได้อีกต่างหาก และสามารถสั่งแตกไฟล์เองเมื่อโหลดครบหรือสั่งปิดเครื่องก็ยังได้ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่นึกออกคือ โปรแกรมตัวนี้ค่อนข้างช้าในเรื่องของการทำงาน (เพราะเขียนโดยใช้ภาษาจาวา)







4. Orbit Downloader 
สำหรับคนชอบโหลดไฟล์วิดีโอไม่ว่าจะจากโปรโตคอลไหนๆ หรือเว็บอะไรตัวนี้เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจมากตัวนึงเพราะฟีเจอร์การดาวน์โหลดที่บอกไปข้างต้นคือตัวชูโรงของโปรแกรมตัวนี้ รองรับโปรโตคอลเยอะมาก (HTTP, RTSP, MMP, RTMP, ETC.) เรียกว่าคุณดูหนังผ่านตัวไหนตัวนี้โหลดได้แทบหมดทุกตัวจริงๆ และดาวน์โหลดอะไรที่ streaming มาได้เกือบทั้งหมด ใครชอบด้านนี้ลองดูครับ เบาเครื่องด้วยนะเออ







5. MDownloader
สำหรับคนที่อาจรับไม่ได้กับความอืดของ JDownloader ตัวนี้อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ แต่ฟีเจอร์มันก็น้อยลงเช่นกันโดยรองรับเพียงไม่กี่เว็บในตอนนี้ แต่ก็เป็นโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดอีกตัวที่กำลังมาแรงและน่าจะพัฒนาได้ไปอีกไกลในอนาคตครับ


ประเภทของซอฟต์แวร์ที่ให้ดาวน์โหลด

ประเภทของซอฟต์แวร์ที่ให้ดาวน์โหลด

1.ฟรีแวร์
ฟรีแวร์ (freeware) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้ในทุกจุดประสงค์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (เช่นราคาขายหรือค่าลิขสิทธิ์) ฟรีแวร์เป็นลักษณะก้ำกึ่งระหว่างซอฟต์แวร์พาณิชย์และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซ คืออนุญาตให้กลุ่มผู้พัฒนามีส่วนร่วมในการสร้างซอฟต์แวร์ แต่ก็ไม่เผยแพร่รหัสต้นฉบับสู่สาธารณชนเพื่อรักษาความลับทางการค้า


2.แชร์แวร์ (Shareware)
แชร์แวร์ คือ โปรแกรมที่ถูกจำกัดความสามารถไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้โปรแกรม โดยหากสนใจใช้โปรแกรมอย่างครบทุกความสามารถ จึงจ่ายเงินเป็นค่าลงทะเบียนให้ผู้พัฒนาโปรแกรม ประโยชน์ของการขายโปรแกรมด้วยวิธีนี้คือ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเสียเงินก็สามารถใช้โปรแกรมได้ และยังได้สร้างความคุ้นเคยในการใช้งานให้ผู้ใช้ด้วย รวมถึงเป็นการแนะนำสินค้าที่ดีวิธีหนึ่ง ส่วนความสำเร็จของผู้เขียนโปรแกรมแชร์แวร์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ใช้ที่ทดลองใช้โปรแกรมไปแล้วตัดสินใจลงทะเบียน

ประเภขของแฟ้มข้อมูล

  ประเภทของแฟ้มข้อมูล

ประเภทของแฟ้มข้อมูล (File Type) เราสามารถจำแนกแฟ้มข้อมูลออกตามลักษณะของข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้และสามารถแบ่งแฟ้มข้อมูลออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) เป็นแฟ้มข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น แฟ้มข้อมูลประวัติ ลูกค้า (Customer master file) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แฟ้มข้อมูลประวัติผู้จัดส่งสินค้า (Supplier master file) แฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือ (Inventory master file) แฟ้มข้อมูลบัญชี (Account master file) เป็นต้น ซึ่งแฟ้มข้อมูลหลักเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของระบบงานบัญชี (Account system)
2. แฟ้มรายการปรับปรุง (Transaction file) เป็นแฟ้มที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน รายการที่เกิดขึ้นต้องนำไปปรับปรุงกับแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อให้แฟ้มข้อมูลหลักมีข้อมูลที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
การปรับปรุงแฟ้มข้อมูลสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การเพิ่มรายการ (Add record) การลบรายการ (Delete record) และการแก้ไขรายการ (Edit)
การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล (File organization) มีวิธีการจัดได้หลายประเภท เช่น

1. การจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลแบบตามลำดับ (Sequential File organization) ลักษณะการจัดข้อมูลรายการจะเรียงตามฟิลด์ที่กำหนด (Key field) เช่น เรียงจากน้อยไปหามากหรือจากมากไปหาน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร โดยส่วนมากมักจะใช้เทปแม่เหล็กเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลซึ่งการเก็บโดยวิธีนี้จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

                                       ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียในการจัดระเบียบแฟ้มข้อมูลตามลำดับ

2. การจัดระเบียนแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือแบบสุ่ม (Direct or random file organization) โดยส่วนมากมักจะใช้จานแม่เหล็ก (Hard disk) เป็นหน่วยเก็บข้อมูล การบันทึกหรือการเรียกข้อมูลขึ้นมาสามารถเรียกได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านรายการอื่นก่อน เราเรียกวิธีนี้ว่าการเข้าถึงข้อมูลโดยตรง (Direct access) หรือการเข้าถึงโดยการสุ่ม (Random Access) การค้นหาข้อมูลโดยวิธีนี้จะเร็วกว่าแบบตามลำดับ ทั้งนี้เพราะการค้นหาจะกำหนดดัชนี (Index) จะนั้นจะวิ่งไปหาข้อมูลที่ต้องการหรืออาจจะเข้าหาข้อมูลแบบอาศัยดัชนีและเรียงลำดับควบคู่กัน (Indexed Sequential Access Method (ISAM) โดยวิธีนี้จะกำหนดดัชนีที่ต้องการค้นหาข้อมูล เมื่อพบแล้วต้องการเอาข้อมูลมาอีกกี่ รายการก็ให้เรียงตามลำดับของรายการที่ต้องการ ซึ่งการเก็บโดยวิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

                                         ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียในการจัดแฟ้มข้อมูลแบบตรงหรือสุ่ม

อุปสรรคในการจัดการแฟ้มข้อมูลแบบดั้งเดิม (Traditional or Conventional file) คือ หน่วยสำรองข้อมูล (Storage) จะมีแฟ้มข้อมูลหลักอยู่และในแฟ้มข้อมูลหลัก (Master file) จะประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ (Data Element) เช่น A-Z แต่ละแผนกก็จะต้องเขียนโปรแกรมประยุกต์ (Application Program) ของงานตนเองขึ้นมา ซึ่งแต่ละงานอาจจะมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน แสดงการใช้แฟ้มข้อมูลแบบดั้งเดิม


                                              รูปแสดงการใช้แฟ้มข้อมูลแบบดั้งเดิม(Traditional file) กับงานประยุกต์ต่างๆ

จากรูปจะเห็นว่าโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ อาจจะมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน ซึ่งทำให้โอกาสที่จะเกิด ข้อผิดพลาด (Error) มีมากขึ้น หากไม่มีการควบคุมการใช้แฟ้มที่ดี ดังนั้นปัญหาอาจจะเกิดขึ้นได้หลายประการเช่น
1. การซ้ำซ้อน และการสับสนของข้อมูล (Data Redundancy and confusion)
2. ข้อมูลและโปรแกรมขึ้นต่อกัน (Program-data dependence)
3. ขาดความยืดหยุ่น (Lack of flexibility)
4. ขาดความปลอดภัยของข้อมูล (Poor security)
5. ข้อมูลขาดความสะดวกในการใช้และการแบ่งปันกัน (Lack of data sharing and availability)

 การจัดการแฟ้มข้อมูล (File Management) ในอดีตข้อมูลที่จัดเก็บไว้จะอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอิสระ (Conventional File) ซึ่งระบบงานแต่ละระบบก็จะสร้างแฟ้มของตนเองขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น ระบบบัญชี ที่สร้างแฟ้มข้อมูลของตนเอง ระบบพัสดุคงคลัง (Inventory) ระบบการจ่ายเงินเดือน(Payroll) ระบบออกบิล (Billing) และระบบอื่นๆต่างก็มีแฟ้มข้อมูลเป็นของตนเอง หากมีการปรับปรุงแก้ไขก็จะทำเฉพาะส่วนจึงทำข้อมูลขององค์การ บางครั้งเกิดสับสนเนื่องจากข้อมูลขัดแย้งกันและในบางองค์การอาจจะมีการเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาที่เขียนที่ต่างกัน เช่นภาษาโคบอล (COBOL language) ภาษาอาร์พีจี(RPG) ภาษาปาสคาล (PASCAL) หรือภาษาซี (C language) ซึ่งมีลักษณะของแฟ้มข้อมูลที่สร้างด้วยภาษาที่ต่างกันก็ไม่สามารถจะใช้งานร่วมกันได้ จึงทำให้องค์การเกิดการสูญเสียในข้อมูล ดังนั้นก่อนที่องค์การจะนำคอมพิวเตอร์มาใช้จะต้องมีการวางแผนถึงระบบการบริหารแฟ้มข้อมูล การแบ่งประเภทของแฟ้มข้อมูลและการจัดระเบียบแฟ้มข้อมูล
การบริหารแฟ้มข้อมูลจะต้องมีการกำหนดโปรแกรมที่จะพัฒนาขึ้นมาว่าจะใช้ภาษาอะไร มีหน่วยงานใดต้องใช้ ต้องการข้อมูลอะไร ข้อมูลที่แต่ละแผนกต้องการซ้ำกันหรือไม่ หรือมีข้อมูลอะไรที่ขาดหายไปและข้อมูลฟิลด์ไหนที่จะใช้เป็นคีย์ในการค้นหาข้อมูล เช่น การสร้างแฟ้มประวัติลูกค้า





รูปแฟ้มประวัติลูกค้า
จากตัวอย่างเราอาจจะกำหนดคีย์ที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลโดยใช้รหัสลูกค้าหรือชื่อลูกค้า ในการหาข้อมูลก็ได้ขึ้นอยู่กับโปรแกรมเป็นตัวกำหนด
ประเภทของแฟ้มข้อมูล (File Type) เราสามารถจำแนกแฟ้มข้อมูลออกตามลักษณะของข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้และสามารถแบ่งแฟ้มข้อมูลออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) เป็นแฟ้มข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น แฟ้มข้อมูลประวัติ ลูกค้า (Customer master file) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แฟ้มข้อมูลประวัติผู้จัดส่งสินค้า (Supplier master file) แฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือ (Inventory master file) แฟ้มข้อมูลบัญชี (Account master file) เป็นต้น ซึ่งแฟ้มข้อมูลหลักเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของระบบงานบัญชี (Account system)

แฟ้มรายการปรับปรุง (Transaction file) เป็นแฟ้มที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน รายการที่เกิดขึ้นต้องนำไปปรับปรุงกับแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อให้แฟ้มข้อมูลหลักมีข้อมูลที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

วิธีการประมวลผล
    วิธีการประมวลผล (Processing Technique) การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการประมวลผลทางธุรกิจนั้นมีวิธีการประมวลผลได้หลายแบบดังนี้

1. การประมวลผลแบบชุด (Batch Processing) คือ การประมวลผลโดยผู้ใช้จะทำการรวบรวมเอกสารที่ต้องการประมวลผลไว้เป็นชุดๆ ซึ่งแต่ละชุดอาจจะกำหนดเท่ากับเอกสาร 10 หรือ 20 รายการหรือมากกว่าก็ได้แต่ให้มีขนาดเท่ากัน แล้วป้อนข้อมูลดังกล่าวสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นจึงใช้คำสั่งให้ประมวลผลพร้อมกันที่ละชุดตัวอย่าง บริษัทหนึ่งอาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อออกบิลโดยมีการรวบรวมใบสั่งซื้อจากลูกค้าภายในหนึ่งวันจากแผนกขาย จากนั้นก็ส่งให้แผนกคอมพิวเตอร์ทำการป้อนข้อมูลและตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะเก็บบันทึกไว้ จากนั้นก็จะนำข้อมูลดังกล่าวไปประมวลผล ซึ่งอาจจะต้องอาศัยแฟ้มข้อมูลอื่นๆ มาประกอบการประมวลผล เช่น แฟ้ม ข้อมูลสินค้าคงเหลือ แฟ้มข้อมูลลูกหนี้ กรณีลูกค้าซื้อเงินเชื่อและแฟ้มประวัติลูกค้า เป็นต้น จากนั้นก็จะนำข้อมูล ดังกล่าวไปประมวลผล ซึ่งอาจจะต้องอาศัยแฟ้มข้อมูลอื่นๆ มาประกอบการประมวลผล เช่น แฟ้มข้อมูลสินค้าคงเหลือ แฟ้ม ข้อมูลลูกหนี้ กรณีลูกค้าซื้อ เงินเชื่อและแฟ้มประวัติลูกค้า เป็นต้น จากนั้นจึงออกบิลเพื่อส่งต่อให้กับผู้ขายเพื่อเบิกสินต้าที่แผนกพัสดุ สินค้าหรือโกดัง (Warehouse) พิจารณา แสดงข้อดีและข้อเสียของการประมวลผลแบบชุด



                                                          รูปแสดงขั้นตอนการรวบรวมบิลเป็นชุดก่อนประมวลผลแบบชุด


ข้อดีของการทำงานแบบชุด
ข้อเสียของการทำงานแบบชุด



                                     ตารางที่ 5.4 แสดงข้อดีและข้อเสียของการประมวลผลแบบโต้ตอบ(Interactive)

2. การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive) หมายถึง การทำงานในลักษณะที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา เช่น กรณีที่ลูกค้า นายวัลลภ คลองหก จากบริษัทราชมงคล จำกัด ติดต่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผนกขาย เจ้าหน้าที่พนักงานขายจะต้องป้อนรหัสลูกค้าเพื่อเรียกประวัตินายวัลลภขึ้นมาพิจารณาว่าในขณะนี้ได้สั่งซื้อสินค้าเกินวงเงินเครดิตหรือไม่ ถ้าไม่เกินก็อนุมัติการขายแต่ถ้าหากเกินก็อาจจะให้ชำระเป็นเงินสด จากนั้นจะมีการตรวจสอบแฟ้มสินค้าคงคลังว่ามีสินค้าดังกล่าวหรือไม่เพื่อตัดสต็อก (Stock) แล้วพิมพ์บิลเพื่อจัดส่งให้ลูกค้า แสดงการทำงานการออกบิลโดยการประมวลผลแบบโต้ตอบ


                      ตารางแสดงข้อดีและข้อเสียของการประมวลผลแบบโต้ตอบ

3. การประมวลผลแบบออนไลน์ (Online processing) คือ การประมวลผลร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่ ต่อพ่วงกับระบบสื่อสาร (Communication) โดยอาศัยอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น โมเด็ม (Modem) ซึ่งลักษณะการทำงานอาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องต่อพ่วงกันในระบบเครือข่าย (Network) ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ ขนาดกลางหรือไมโครคอมพิวเตอร์ก็ได้ โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กันแต่สามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันได้โดยมีการส่งผ่านข้อมูลไปมาระหว่างกัน ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์เราอาจจะสร้างเครือข่ายในลักษณะเครือขายเฉพาะ (Local Area Network(LAN) ซึ่งเป็นเครือข่ายใกล้ๆ หรืออาจสร้างเครือข่ายงานกว้าง [Wide Area Network(WAN) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกันมากแต่เชื่อมต่อกันได้โดยระบบ โทรคมนาคม เช่น โทรศัพท์หรือดาวเทียม ในเชิงธุรกิจกรณีที่พนักงานขายอยู่ต่างจังหวัดและจะส่งใบสั่งซื้อของลูกค้า เข้ามาที่สำนักงานใหญ่ก็สามารถทำได้โดยส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์แล้วพิมพ์บิลทีสำนักงาน จากนั้นก็จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าตามใบสั่ง



ความหมายการ Down load และ Up load

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการถ่ายโอนข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต


การถ่ายโอนข้อมูล
          เป็นการส่งสัญญาณออกจากเครื่องและรับสัญญาณเข้าไปในเครื่อง การถ่ายโอนข้อมูลสามารถจัดจำแนกได้ 2 แบบ คือ การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนานและการถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม
        1. การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน  ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาสัญญาณสูญหายไปกับความต้านทานของสาย นอกจากการส่งข้อมูลหลักแล้วอาจจะมีทางเดินของสัญญาณควบคุมอื่นๆ อีก เช่น บิตพาริตี ที่ใช้ในการตรวจสอบความผิดพลาดของการรับสัญญาณที่ปลายทางหรือสายที่ควบคุมการโต้ตอบ ( hand-shake)




          2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม  ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดส่งและจุดรับ การส่งข้อมูลแบบนี้จะช้ากว่าแบบขนาน การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการตัวกลางสำหรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือสายเพียงคู่เดียว ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าแบบขนานสำหรับการส่งระยะทางไปไกลๆ โดยเฉพาะเมื่อเรามีระบบสื่อสารทางโทรศัพท์ไว้ใช้งานอยู่แล้ว ย่อมจะเป็นการประหยัดกว่าที่จะทำการติดต่อสื่อสารทีละ 8 ช่อง เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมจะเริ่มโดยข้อมูลจากจุดส่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณอนุกรมเสียก่อน แล้วค่อยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังจุดรับ และที่จุดรับจะต้องมีกลไกในการเปลี่ยนข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตัวพอดี เช่น บิตที่ 1 ลงที่บัสข้อมูลเส้นที่ 1 ดังแสดงในรูป





   การติดต่อแบบอนุกรมอาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 3 แบบคือ
     
        1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
        2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น
        3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น